วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โปรเเกรม Multimedia

1. หาโปรเเกรม ดูหนัง ฟังเพลง 
3. โปรเเกรม 

Miro 
เป็นโปรแกรมสำหรับบริหารจัดการไฟล์เพลงและไฟล์หนังได้อย่างครบวงจร โปรแกรมสามารถใช้งานโดยใช้งานฐานข้อมูลของ iTunes ได้ทันที ทำให้เราสามารถดูหนังแบบ HD และฟังเพลงโดยไม่ต้องสร้างฐานข้อมูลเพลงและหนังใหม่ โปรแกรมสามารถใช้ในการดาวน์โหลดคลิปวีดีโอจากอินเตอร์เน็ต สามารถใช้โหลดบิตแทนโปรแกรมโหลดบิตทั่วไป นอกจากนั้นโปรแกรมยังสามารถเชื่อมต่อไปยัง Google Store เพื่อทำการ sync ข้อมูลระหว่าง Miro และอุปกรณ์ Android โปรแกรมสามารถใช้ในการแปลงไฟล์วีดีโอเพื่อใช้ลงอุปกรณ์มือถือ Android, iOS, และอุปกรณ์อื่นๆ หากมีการใช้งาน Miro บนหลายเครื่องในเน็ตเวิร์คเดียวกัน โปรแกรมก็ยังสามารถใช้แชร์ไฟล์ต่างๆ ผ่าน Wifi ได้อีกด้วย

KMPlayer 
ได้เวลาอัพเดทกันอีกแล้วกับสุดยอดโปรแกรมดูหนังฟังเพลงยอดฮิต โปรแกรมนี้นับได้ว่าเป็นโปรแกรมอันดับต้นๆ คู่ใจคอหนังก็ว่าได้ เนื่องจากโปรแกรมสามารถใช้ดูหนังและฟังเพลงได้ทุกนามสกุลได้ทันทีโดยไม่ต้องลง codec เพิ่มเติมภายหลัง โปรแกรมรองรับการใช้งานด้านการดูหนังฟังเพลงอย่างเต็มรูปแบบ สามารถปรับแต่งระบบภาพและเสียง พร้อมทั้งซับไตเติ้ลได้อย่างอิสระ โปรแกรมมีระบบ KMP+ ที่จะช่วยแนะนำหนังน่าสนใจ คลิปที่กำลังมีคนพูดถึง รวมทั้งเล่นเกมส์สนุกๆ ได้ทันทีจากโปรแกรม สำหรับเวอร์ชั่นอัพเดทล่าสุดก็มีการเพิ่มระบบ Instant View ที่เป็นภาพพรีวิวบน seek bar คล้ายกับในยูทูป, แก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัย, เพิ่มระบบ resync ซับไตเติ้ล เป็นต้น

GOM Media Player
เป็นโปรแกรมดูหนังฟังเพลงทุกนามสกุลได้ทันทีโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม โปรแกรมออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถดูหนังฟังเพลงทุกชนิดได้ทันทีที่ลงโปรแกรมเสร็จ ซึ่งโปรแกรมทั่วไปมักจะต้องมีการลง codec เพิ่มเติมเอง แต่โปรแกรมนี้ได้ลงไว้ให้เสร็จสรรพพร้อมใช้งาน โปรแกรมทำงานได้อย่างรวดเร็ว รองรับการปรับแต่งทั้งด้านระบบภาพ ระบบเสียง และระบบซับไตเติ้ลได้อย่างอิสระ โปรแกรมสามารถใช้เปิดดูไฟล์หนังทั่วไปได้ทุกนามสกุล สำหรับเวอร์ชั่นอัพเดทก็มีการอัพเดทการเปิดไฟล์ AAC, แก้ไขปัญหาการดูไฟล์ TS บางไฟล์, แก้ไขการเล่นไฟล์ MP4 ที่มีระบบซับไตเติ้ลในตัว, แก้ไขระบบการแสดง Recent Files บน Windows 7/8 เป็นต้น

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

6 โปรเเกรมจับหน้าจอ



Snagit
 เป็นโปรแกรมช่วยจับภาพหน้าจอแล้วเซฟเป็นไฟล์ยอดนิยมตัวหนึ่ง โปรแกรมนี้สามารถจับภาพได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเดสทอป วิดีโอ รูป โปรแกรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไร โปรแกรมนี้ก็สามารถจับภาพได้สบายๆ สามารถเลือกได้ว่าจะจับภาพทั้งหน้าจอหรือเฉพาะส่วนที่เลือกก็ได้ นอกจากนั้นยังสามารถปรับแต่งภาพที่ได้จากโปรแกรมได้เลย
โดยอาจจะเพิ่มคอมเม้นต์หรือคลิปอาร์ตอื่นๆ ก็ได้
Snagit (โปรแกรม จับภาพหน้าจอ ทุกอย่าง ที่ขวางหน้า) ถือเป็นอีกหนึ่ง โปรแกรมจับภาพหน้าจอ คุณภาพสูง ใช้กันมากๆ เลยนะครับ ในงานระดับมืออาชีพ โดยสามารถจับภาพ ทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ อาทิเช่น การที่เราจะจับภาพของหน้าจอเว็บเพจ สักเว็บนึง ถ้าเว็บไหนยาวๆ เราต้องมานั่ง ทำที่ละส่วนแล้วนำภาพมาต่อกันเอง สำหรับโปรแกรมนี้กด Click ทีเดียวจบ



WinSnap (โปรแกรมจับภาพหน้าจอ อัดภาพหน้าจอ แต่งภาพได้) 
โปรแกรมขนาดเล็กๆ ที่มีประสบการณ์การพัฒนาอย่างยาวนาน ถือกำเนิดเวอร์ชั่นแรก ในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2549 
(ค.ศ. 2006) ที่มีชื่อว่า WinSnap ตัวนี้เป็น โปรแกรมจับภาพหน้าจอ (Screen-Captured Software) ที่จะช่วยให้คุณได้สามารถ
 อัดภาพหน้าจอ บันทึกออกมาเป็นไฟล์รูปภาพในขนาดต่างๆ หรือ ตระกูลต่างๆ ได้หลากหลาย
 ขณะนี้มีผู้ใช้มากกว่าล้านคนจากทั่วโลก
โปรแกรม WinSnap นี้คุณสามารถเลือกพื้นที่บนหน้าจอได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น จับภาพหน้าจอ ทั้งหน้าจอ
 (เต็มจอ - Full Screen) หรือจะจับภาพเฉพาะโปรแกรม เฉพาะหน้าต่าง หรือเฉพาะพื้นที่ที่กำหนดได้เอง สะดวกสบายมากๆ เหมาะไปใช้สำหรับ ทำคู่มือการใช้งานโปรแกรม เว็บไซต์ หรือ ระบบต่างๆ ทำสื่อนำเสนอผลงาน (Presentation) ที่ต้องจับภาพหน้าจอจากเว็บเพจ เว็บไซต์ต่างๆ ไปนำเสนอแก่ลูกค้า ลูกศิษย์ หรือ อาจารย์ เป็นต้น และนอกจากนี้โปรแกรมนี้ยังมีความสามารถในการแต่งภาพ เล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ พอสวยได้ ไม่แพ้โปรแกรมแต่งภาพ
 ชื่อดังของโลกหลายๆ โปรแกรมอีกด้วย

5 โปรเเกรมเเต่งภาพ

Photo Scape PhotoScape (โปรแกรมทํากรอบรูปภาพฟรี ทํากรอบรูปเองง่ายๆ) : สำหรับโปรแกรม PhotoScape จัดถือเป็นโปรแกรมประเภท โปรแกรมแต่งรูป ที่สามารถจัดการรูปถ่ายได้ง่ายๆ มีความสามารถของ โปรแกรมทํากรอบรูป เจ๋งๆ แจกฟรี ให้คุณได้ไป ทํากรอบรูปเองง่ายๆ ทำกรอบรูปเก๋ๆ โดย โปรแกรมแต่งรูป PhotoScape ตัวนี้ออกแบบมาเอาใจคนที่ชอบถ่ายรูปแล้วโหลดลงคอมเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่ง PhotoScape มาพร้อมกับฟังก์ชั่นต่างๆ ครบครันสำหรับจัดการรูปภาพ และ โปรแกรมแต่งรูป PhotoScape มีฟังก์ชั่นทำกรอบรูปสวยๆ ให้เลือกใส่อีกหลายๆ แบบอีกด้วย ใช้งานก็ง่าย เหมือนกับร้านอัดรูปเลย

Photo Editor by Aviary 2.4.2

photo editor
 เป็นแอพแต่งภาพคุณภาพสูงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอีกหนึ่งโปรแกรม ด้วยยอดดาวน์โหลดในเดือนเมษายนกว่า 50 ล้านครั้ง ซึ่งแอพ Photo Editor สามารถช่วยให้ท่านสามารถ่ายรูป แต่งรูป และแชร์รูปภาพได้ทันทีจากโปรแกรม ความสามารถในการแตกแต่งรูปภาพที่เป็นจุดเด่นที่สุดของ Photo Editor ได้แก่
  • เลือกใส่ฟิลเตอร์หลากหลาย ใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว
  • สามารถใส่เอฟเฟ็ก ลูกเล่นต่าง ๆ ให้กับภาพได้
  • ใส่กรอบ เฟรม หรือสแตมป์ให้กับรูปภาพได้
  • มีสติ๊กเกอร์น่ารัก ๆ กวน ๆ หลากหลายทั้งไอคอนแบบสีและขาวดำ
  • สามารถเลือกสไตล์ของภาพได้ว่าจะเป็นกลางวัน กลางคืน โทนดำ มีหิมะ หรือปรับแบบสมดุลสี
  • สามารถตัดต่อภาพได้ วาดรูป ใส่ตัวอักษร คร๊อปภาพ หมุนภาพ ย่อ ขยาย ลบวัตถุต่าง ๆ ปรับแต่งแสง 

4 โปรเเกรมตัดต่อ

Audacity (โปรแกรมตัดต่อเสียง ทำ MP3 ริงโทน ทำ Sound Effect)

Audacity
Audacity (โปรแกรมตัดต่อเสียง ทำ MP3 ริงโทน ทำ Sound Effect หรือ mix เสียง ต่างๆ แจกฟรี) 
 โปรแกรม Audacity ตัวนี้ เป็น โปรแกรมตัดต่อเสียง ที่ช่วยให้คุณสามารถตัดต่อไฟล์เสียงต่างๆ อาทิเช่น ทำ MP3, ริงโทน, mix เสียง และ Sound Effectต่างๆ แล้วเซฟเป็นไฟล์ต่างๆ ได้แก่ WAV, AIFF, MP3, และ OGG
โปรแกรม Audacity นี้เหมาะสำหรับการตัดต่อเสียงต่างๆ เพื่อนำมาใช้งานต่างๆไม่ว่าจะเป็น ริงโทน เสียงเอฟเฟค (Sound Effect) ที่นำไปใช้กับงานสื่อต่างๆ ได้ โดย โปรแกรมตัดต่อเสียง ตัวนี้มีความสามารถในการ mix เสียง การใส่เอฟเฟค (Sound Effect) ลงไปในเสียง ต่างๆได้













Ulead Video Studio V.11 Plus Full 
02-05-2009 Views: 59
Ulead Video Studio 11 เป็นโปรแกรมตัดต่อวีดีโอที่มีการใช้งานไม่ยากจนเกินไป แม้ผู้ที่เริ่มใช้งานก็สามารถที่จะสร้างวีดีโอได้เหมือนกับผู้ที่มี ประสบการณ์ตัดต่อวีดีโอมานาน โปรแกรมนี้มีเครื่องมือต่างๆ สำหรับตัดต่อวีดีโออย่างครบถ้วน เริ่มตั้งแต่จับภาพจากกล้องเข้าคอมพิวเตอร์ ตัดต่อวีดีโอ ใส่เอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ แทรกดนตรีประกอบ แทรกคำบรรยาย ไปจนถึงบันทึกวีดีโอที่ตัดต่อกลับลงเทป, VCD, DVD หรือแม้กระทั่งเผยแพร่ผลงานทางเว็บ
โปรแกรม Ulead มีการทำงานเป็นขั้นตอนที่ง่าย ตั้งแต่จับภาพ ตัดต่อไปจนถึงเขียนลงแผ่น นอกจากนี้แล้ว โปรแกรมยังมีเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ อีกมากมาย ไตเติ้ลสำเร็จรูปแบบมืออาชีพ รวมทั้งยังมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับสร้างซาวนด์แทร็ค
ในการสร้างวีดีโอนั้น เริ่มแรกจับภาพวีดีโอจากกล้องหรือว่าดึงไฟล์วีดีโอจากแผ่น VCD/DVD เข้ามา จากนั้นก็ตัดแต่งวีดีโอที่จับภาพมา เรียงลำดับเหตุการณ์ ใส่ทรานสิชั่น (transtion - เอ็ฟเฟ็กต์ที่ใส่ระหว่างคลิปวีดีโอ ทำให้การเปลี่ยนคลิปวีดีโอจากคลิปหนึ่งไปยังอีกคลิปหนึ่งน่าดูยิ่งขึ้น) ทำภาพซ้อนภาพ ใส่ไตเติ้ล ใส่คำบรรยาย แทรกดนตรีประกอบ ซึ่งส่วนต่างๆ เหล่านี้จะแยกแทร็คกัน การทำงานในแต่ละแทร็คจะไม่มีผลกระทบกับกับแทร็คอื่นๆ เมื่อทำเสร็จแล้วขั้นตอนสุดท้ายก็คือ การเขียนวีดีโอลงแผ่น
การตัดต่อใน Ulead นั้น จะสร้างเป็นไฟล์ project ขึ้นมา (.VSP) ซึ่งไฟล์นี้จะเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้ หากว่าทำงานยังไม่เสร็จก็สามารถเปิดเพื่อทำงานต่อในภายหลังได้ ไฟล์นี้จะมีขนาดเล็ก การตัดต่อวีดีโอนี้ แม้จะตัดต่ออย่างไรในวีดีโอ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อไฟล์ต้นฉบับ ข้อมูลการตัดต่อต่างๆ จะบันทึกอยู่ในไฟล์ project ทั้งหมด แต่เมื่อมีการสร้างวีดีโอที่ได้จากการตัดต่อ โปรแกรมอ่านข้อมูลจากต้นฉบับตามข้อมูลที่อ้างอิงในไฟล์ project นี้

3 โปรเเกรมเเปลงไฟล์

โปรแกรมแปลงไฟล์ Format Factory


Format Factory (โปรแกรมแปลงไฟล์ แปลงภาพ แปลงเพลง แปลงวีดีโอ ตามต้องการ) 
สำหรับโปรแกรม Format Factory เป็นรวมฮิตหรือ โปรแกรมแปลงไฟล์ ทั้ง แปลงภาพ แปลงเพลง และ แปลงวีดีโอ เอาเข้าไว้ด้วยกัน โปรแกรมแปลงไฟล์ ตัวนี้สามารถจัดการได้หมด อย่างเช่นไฟล์ VDO ก็สามารถแปลงไปมาได้ทั้ง MP4/ 3GP/ MPG/ AVI/ WMV/ FLV/ SWF ไฟล์ เพลง ก็ MP3/ WMA/ MMF/ AMR/ OGG/ M4A/ WAV
หากมาดูในส่วนของ การแปลงรูปภาพ โปรแกรมแปลงไฟล์ ของโปรแกรม Format Factory ก็ไม่น้อยหน้าทั้ง JPG/BMP/PNG/TIF/ICO ได้หมด เท่านั้นยังไม่พอ โปรแกรมแปลงไฟล์ ตัวนี้ยังทำการ Rip ไฟล์จากแผ่น CD เพลงมาเป็น MP3 ก็ยังทำได้ หรือจะจากแผ่น DVD มาทำเป็นไฟล์ VDO ตามต้องการจะเอาไปลงมือถือรุ่นไหนก็ยังเลือกได้

Program Features (คุณสมบัติ ความสามารถของ Format Factory โปรแกรมแปลงไฟล์) 
  1. โปรแกรมแปลงไฟล์ สนับสนุน แปลงไฟล์หนัง แปลงไฟล์ภาพยนตร์ แปลงไฟล์เพลง แปลงไฟล์รูปภาพ กลับไปกลับมา ได้อย่างลงตัว
  2. ซ่อมแซมไฟล์หนัง (ไฟล์ภาพยนตร์) หรือ ไฟล์เพลง ที่เสีย หรือ ไม่สามารถเปิดได้ ด้วยโปรแกรมเล่นหนัง โปรแกรมเล่นเพลง ให้กลับมาเปิดได้ ตามปกติ
  3. มีระบบ ช่วยลดขนาด ไฟล์มัลติมีเดีย (หนัง เพลง หรือ ภาพ) ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อเหมาะสมกับอุปกรณ์จัดเก็บ หรือเครื่องเล่น
  4. สนับสนุน การเล่นไฟล์บนเครื่อง iPhone / iPod touch / iPad ด้วย โปรแกรมแปลงไฟล์
  5. สามารถ หมุนรูปภาพ (Rotate) ซูม (Zoom) ย่อขยายรูปภาพ
  6. สามารถ RIP หนังออกจากแผ่น DVD ลงมาเก็บไว้บนคอมพิวเตอร์ได้ (DVD Ripper)
  7. รองรับกับอุปกรณ์พกพาทุกชนิดทั้งหลาย
  8. สนับสนุนภาษามากกว่า 62 ภาษา (ไม่มีภาษาไทย)
  9. สนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows ทุกประเภท


Super File Splitter (โปรแกรม ตัดต่อไฟล์) 
 Super File Splitter คือโปรแกรม Split/Join ไฟล์ โดยจะ Split ไฟล์ ตัดแบ่งไฟล์เป็นหลายๆ ส่วน แล้วสามารถนำชิ้นส่วนไฟล์เหล่านั้นมา Join รวมกันเป็นไฟล์เดียวที่เหมือนไฟล์ต้นฉบับได้ในภายหลัง
การตัดแบ่งไฟล์เป็นหลายๆ ส่วนเช่นนี้ เหมาะสำหรับการโอนถ่ายข้อมูล ในกรณีที่ไฟล์มีขนาดใหญ่เกินไป ยกตัวอย่าง เช่น การตัดแบ่งไฟล์ให้มีขนาดไม่เกิน 1.44MB เพื่อนำไปใช้โอนถ่ายข้อมูลบนแผ่น Diskette 1.44MB การตัดแบ่งไฟล์ให้มีขนาดไม่เกิน 128MB เพื่อนำไปใช้โอนถ่ายข้อมูลบน Flash Drive ความจุ 128MB การตัดแบ่งไฟล์ให้มีขนาดไม่เกิน 1MB เพื่อนำไป Upload ในการแนบไฟล์ไปกับ E-Mail
นอกจากนี้ การตัดแบ่งไฟล์ ยังมีประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยงต่อความเสียหายของข้อมูล ในกรณีที่ข้อมูลนั้นๆ สามารถใช้การได้ แม้จะเกิดความเสียหายในบางส่วนก็ตาม เช่น ไฟล์ Audio, Video และข้อมูลนั้นๆ ถูก Split ตัดแบ่งเป็นหลายๆ ไฟล์ และถูกบันทึกในวัสดุที่อาจเกิดความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาได้ เช่น แผ่น CD นั่นหมายความว่า หากมีบางไฟล์เกิดความเสียหายจนใช้การไม่ได้ ก็ยังสามารถนำไฟล์ที่เหลือมา Join รวมกันได้ ...
Super File Splitter สามารถ Split/Join ไฟล์ได้หลายไฟล์ในการทำงานเพียงรอบเดียว โดยในการ Split สามารถเลือกได้ว่าจะ Split ให้แต่ละไฟล์มีขนาดเท่าใด หรือจะ Split ตัดแบ่งไฟล์เป็นกี่ไฟล์ ส่วนในการ Join สามารถเลือกได้ว่าจะ Join ชิ้นส่วนไฟล์ของแต่ละไฟล์ หรือจะ Join เฉพาะไฟล์ที่เลือกมาเท่านั้น ...
Super File Splitter สามารถ Encrypt/Decrypt หรือ เข้ารหัส/ถอดรหัส ไฟล์ ที่ถูก Split/Join เป็นการปกป้องข้อมูล ทำให้ข้อมูลในไฟล์นั้นๆ มีความปลอดภัยจากบุคคลอันไม่พึงประสงค์อีกด้วย ...
Super File Splitter ยังมีโปรแกรม Utility เล็กๆ คือ Mini File Extracter ที่สามารถ Copy ข้อมูลบางส่วนของไฟล์ได้ เหมาะสำหรับใช้กู้ข้อมูลในกรณีที่ไฟล์เกิดความเสียหายบางส่วน และเหมาะสำหรับการ Copy ข้อมูลบางส่วนของไฟล์ ในกรณีที่รู้ว่าข้อมูลที่ต้องการอยู่ในตำแหน่งใดในไฟล์นั้นๆ 

2 โปรเเกรมจัดการเอกสาร



Foxit Reader
เป็นโปรแกรมทางเลือกในการเปิดไฟล์ PDF ได้เป็นอย่างดี โปรแกรมออกแบบมาเพื่อการอ่านไฟล์ PDF ที่ราบรื่น โดยโปรแกรมในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ได้มีการออกแบบหน้าตาโปรแกรมใหม่ทั้งหมด ทำให้หน้าตาโปรแกรมดูน่าใช้งานตามสไตล์ Windows 8 ที่เน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก แถมยังมีการจัดโครงสร้างโปรแกรมคล้ายกับ MS-Office ซึ่งผู้ใช้ทั่วไปน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โปรแกรมมีจุดเด่นที่ขนาดโปรแกรมที่เล็ก ประหยัดพื้นที่ แถมยังสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและเสถียร โปรแกรมนอกจากจะสามารถเปิดไฟล์ PDF ได้ทุกรูปแบบแล้ว โปรแกรมยังสามารถใช้ในเขียนคอมเม้นต์ ขีดไฮไลท์ เพิ่มข้อความ ใส่ลายเซ็นอิเล็กทรอนิคส์บนเอกสารได้ทันทีอีกด้วย


FinePrint 
ช่วยให้คุณสามารถพิมพ์สมุดคู่มือสร้างจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ตัวอย่างก่อนพิมพ์, พิมพ์หลายหน้าลงบนแผ่น, ซ้อนลายน้ำและอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากการใช้ประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายก็มีการสนับสนุนที่ยอดเยี่ยมสำหรับการพิมพ์หน้าเว็บที่คุณสามารถดูตัวอย่างการพิมพ์ออกรวมหลายหน้าไว้ในที่เดียวหรือลบรายการที่คุณ Don t ต้องการพิมพ์ ตัวอย่างเช่นถ้าคุณเดินทางคุณจะต้องพิมพ์ออกมาจองการเดินทางโรงแรมและรถของคุณแผนที่ใด ๆ ที่คุณต้องการและบางทีอาจจะเป็นรายชื่อของร้านอาหารและสถานที่น่าสนใจ ซึ่งหมายความว่าการพิมพ์จำนวนมากของหน้าเว็บและการดำเนินการให้กับคุณ กับ FinePrint มันง่ายที่จะรวบรวมหน้าเว็บของคุณบันทึกไว้และจัดเรียงไว้ในลำดับที่คุณต้องการ เมื่อชุดของหน้าเว็บพร้อมที่จะไปพิมพ์พวกเขาออกเป็นหนังสือเล่มเล็กที่สะดวกหรือรวมตัวอย่างของข้อมูลในหน้าเดียวแทนที่จะสแต็คที่ทำจากกระดาษที่มีข้อมูลที่ไม่จำเป็นส่วนใหญ่

1 โปรเเกรมบีบอัดข้อมูล

โปรเเกรมอรรถปรโยชน์
การใช้ Winzip

โปรแกรม Winzip เป็นโปรแกรมสำหรับลดขนาดไฟล์ ให้มีขนาดเล็กกลง ถ้าคุณ Download ไฟล์ต่าง ๆ จากเน็ตมาจะเห็นได้ว่าไฟล์ส่วนใหญ่จะ Zip เพื่อความเร็วในการโหลด ซึ่งการใช้งานคุณต้องคลาย Zip ออกก่อนจึงจะสามารถใช้ได้ ในที่นี้จะแนะนำแบบง่ายที่สุดแต่ได้ผล
วิธีคลาย Zip
1. ให้คุณสร้างโฟลเดอร์ขึ้นมา 1 โฟลเดอร์จะตั้งชื่อว่าอะไรก็ได้แล้ว Copy ไฟล์ Zip ที่ต้องการคลายไปไว้ในนั้น
2 ให้คลิกขวาไฟล์ที่ต้องคลาย Zip แล้วเลือก Winzip > Extract to here

3. จะเห็นได้ว่ามีไฟล์ต่าง ๆ ปรากฎขึ้นมา แสดงว่าการคลายเสร็จสมบูรณ์แล้ว สามารถนำไฟล์ต่าง ๆ ไปใช้ได้ตามปกติ
การ Zip ไฟล์
หลังจากรู้วิธีคลายแล้วมาเรียนรู้การ Zip บ้าง ซึ้งก็ไม่ยาก มีวิธีการดังนี้
1. ให้คลิกขวาไฟล์ที่ต้องการ Zip แล้งเลือก Winzip > Add to (จะตามด้วยชื่อไฟล์ที่คุณต้องการ Zip) ในที่นี้ผมจะ Zip โฟลเดอร์ที่ชื่อว่า asp2 จึงขึ้นมาว่า Add to asp2.zip
2. เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้ว จะเห็นได้ว่ามีไฟล์ asp2.zip แล้ว


การใช้ Winrar
การสร้างไฟล์บีบอัด เป็นการรวมไฟล์ๆ เดียวหรือหลายๆ ไฟล์ให้อยู่ในไฟล์เดียวกันและมีขนาดที่เล็กกว่าเดิม ทำให้ประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บและสะดวกในการส่งต่อไปยังผู้ใช้อื่นๆ
โปรแกรมนี้มีการสร้างไฟล์บีบอัดที่จะแตกต่างจากโปรแกรมอื่นๆ บ้าง คือโปรแกรมอื่นๆ เวลาจะสร้างไฟล์บีบอัด ก็จะต้องตั้งชื่อไฟล์เลือกโฟลเดอร์ที่จะเก็บก่อน แล้วจึงเลือกไฟล์ที่จะบีบอัดเข้าไปภายหลัง แต่โปรแกรม WinRAR นี้จะให้เลือกไฟล์ต่างๆ ที่จะบีบอัดก่อน จากนั้นจึงตั้งชื่อไฟล์และเลือกโฟลเดอร์ที่จะเก็บไฟล์ในภายหลัง
ในการสร้างไฟล์บีบอัดนั้น
  1. เลือกไฟล์ที่ต้องการจะบีบอัด ให้ไปยังโฟลเดอร์และเลือกไฟล์ที่ต้องการ โดยคลิกตามหมายเลข 1 แล้วเลือกไดรฟ์และโฟลเดอร์ที่ต้องการ เมื่อเลือกแล้ว ตรงกลางหน้าต่างของโปรแกรมก็จะแสดงรายชื่อไฟล์และโฟลเดอร์ของโฟลเดอร์ที่เลือก
  2. เลือกไฟล์/โฟลเดอร์ที่ต้องการ หากเป็นการเลือกไฟล์เดียวให้คลิกที่ไฟล์ แต่หากต้องการหลายๆ ไฟล์แยกกัน ให้กดปุ่ม Ctrl ค้างไว้แล้วใช้เม้าส์คลิกเลือกไฟล์ที่ต้องการ หรือในกรณีที่ต้องการเลือกไฟล์ที่ที่ต่อเนื่องกันเช่นไฟล์ที่ 1 ถึงไฟล์ที่ 10 ให้คลิกไฟล์ที่ 1 แล้วกดปุ่ม Shift ค้างไว้ คลิกที่ไฟล์ที่ 10
  3. เพิ่มไฟล์เข้าไปยังไฟล์บีบอัด คลิกขวาในหน้าต่างเลือกไฟล์ แล้วเลือก "เพิ่มไฟล์เข้าเอกสาร" หรือ คลิกปุ่ม "เพิ่ม" บนแถบเครื่องมือ
แท็บทั่วไป ในช่อง ชื่อเอกสาร คือชื่อไฟล์บีบอัดที่กำลังจะสร้างขึ้นมาโดยบรรจุไฟล์/โฟลเดอร์ต่างๆ ที่ได้เลือกไว้ก่อนหน้านี้ เราสามารถที่จะเปลี่ยนชื่อไฟล์ได้ตามต้องการ โดยปกติแล้วการสร้างไฟล์บีบอัดนี้จะสร้างเก็บไว้ในโฟลเดอร์เดียวกับไฟล์ที่เลือก แต่หากประสงค์จะเก็บไว้ที่อื่น ให้คลิกปุ่ม "สืบค้น" แล้วเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการเก็บไฟล์
รูปแบบของเอกสาร เลือกเอาว่าจะต้องการไฟล์ชนิดใด .rar หรือ .zip
วิธีการบีบอัดข้อมูล นั้นมีหลายรูปแบบ คือ เก็บเฉยๆ, เร็วที่สุด, เร็ว, ปกติ, ดี, ดีที่สุด แบบเก็บเฉยๆ เป็นการรวมไฟล์ให้อยู่ในไฟล์เดียวกันเท่านั้นไม่ได้มีการบีบอัดข้อมูลให้เล็กลงแต่อย่างใด ในรูปแบบถัดไปจะเป็นการเรียงลำดับจากการบีบอัดอย่างรวดเร็วไปหาช้า แต่จะเรียงลำดับจาก บีบอัดได้น้อยที่สุดไปหามากที่สุด นั่นหมายความว่า การบีบอัดอย่างรวดเร็วจะใช้เวลาน้อย แต่บีบอัดได้มากที่สุด จะใช้เวลามากที่สุดเช่นกัน ก็เลือกตามความเหมาะสมที่ต้องการ
แยกไฟล์เป็นส่วนๆ , ไบท์ หากไฟล์มีขนาดใหญ่ คุณอาจจะต้องการที่จะแบ่งออกเป็นส่วนๆ เพื่อสะดวกในการเก็บบนไดรฟ์ปลายทาง โปรแกรมนี้ก็มีฟังก์ชั่นสำหรับแยกไฟล์ออกเป็นส่วนๆ คุณสามารถป้อนจำนวนตัวเลขที่คุณต้องการได้ โดยตัวเลขที่ป้อนจะมีหน่วยเป็นไบท์ เช่นป้อน 1000000 หมายถึงให้แยกไฟล์ออกเป็นส่วนๆ ส่วนละ 1000000 ไบท์ และคุณสามารถใส่ตัวอักษรไว้ท้ายตัวเลขได้ 10000k
ตัวอักษรที่สามารถใส่เพิ่มได้คือ
  • k หมายถึง กิโลไบท์ (หารไบท์ด้วย 1024)
  • K หมายถึง กิโลไบท์ (หารไบท์ด้วย 1000)
  • m หมายถึง เมกะไบท์
  • M หมายถึง ล้านไบท์
  • g หมายถึง กิกะไบท์
  • G หมายถึง พันล้านไบท์
หรือคุณอาจจะให้โปรแกรมตรวจสอบสื่อโดยอัตโนมัติก็ได้
วิธีการอัพเดท เป็นรูปแบบในการเพิ่มไฟล์เข้าไปในไฟล์บีบอัด
  • เพิ่มและแทนที่ไฟล์ หมายถึง เพิ่มรายชื่อไฟล์ที่เลือกเข้าไปยังไฟล์บีบอัด หากไฟล์ที่เลือกไว้มีชื่อเหมือนกับไฟล์ที่มีอยู่ในไฟล์บีบอัด ก็จะใช้ไฟล์ที่เลือกไว้เขียนทับไฟล์ในไฟล์บีบอัด ไม่ว่าไฟล์นั้นจะมีวันที่ล่าสุดหรือไม่
  • เพิ่มและอัพเดทไฟล์ หมายถึง เพิ่มรายชื่อไฟล์ที่เลือกเข้าไปยังไฟล์บีบอัด หากไฟล์ที่เลือกไว้มีชื่อเหมือนกับไฟล์ที่มีอยู่ในไฟล์บีบอัด ก็จะเปรียบเทียบกันว่าไฟล์ใดใหม่กว่ากัน หากไฟล์ที่เลือก มีวันที่ใหม่กว่า ก็จะเขียนทับไฟล์ที่มีอยู่ในไฟล์บีบอัด หากไฟล์ที่เลือกมีวันที่เก่ากว่า ไฟล์นั้นก็จะไม่ถูกบีบเข้าไปในไฟล์บีบอัด
  • ทำให้ใหม่เฉพาะไฟล์ที่มีอยู่แล้วเท่านั้น หมายถึง การเพิ่มเฉพาะไฟล์ที่มีชื่อเหมือนกับไฟล์ที่มีอยู่ในไฟล์บีบอัด และต้องมีวันที่ใหม่กว่าไฟล์ที่อยู่ในไฟล์บีบอัดด้วย หากไฟล์ที่เลือกนั้น ไม่มีชื่อนี้อยู่ในไฟล์บีบอัด หรือมีชื่อเหมือนกันแต่วันที่เก่ากว่า ก็จะไม่ถูกบีบอัด การใช้ตัวเลือกนี้เหมาะสำหรับการสำรองข้อมูลที่ให้ปรับปรุงเฉพาะข้อมูลที่มีอยู่แล้วแต่วันที่ใหม่กว่า เพื่อประหยัดเวลาในการอัพเดทข้อมูล เช่นมีไฟล์ documents.rar ในไฟล์นี้มี qmd1.doc, qmd2.doc, qmd3.doc มีการเลือกไฟล์ person1.doc, person2.doc และ qmd3.doc เพื่อที่จะบีบอัดเข้าไปในไฟล์ documents.rar เมื่อบีบอัด ไฟล์ qmd3.doc ที่เลือกไว้มีชื่อเหมือนกับไฟล์ qmd3.doc ที่มีอยู่ในไฟล์ documents.rar โปรแกรมจะตรวจสอบว่าไฟล์ที่เลือกเข้ามานั้นใหม่วันที่ใหม่กว่าไฟล์ที่มีอยู่หรือไม่ หากใหม่กว่า ก็จะบีบอัดเข้าไป หากเก่ากว่าก็จะไม่บีบอัด ส่วนไฟล์อื่นๆ ที่ไม่มีชื่อเหมือนกับไฟล์ที่อยู่ในไฟล์บีบอัดนั้น คือ person1.doc และ person2.doc ไฟล์ทั้งสองนี้จะไม่ถูกบีบอัดเข้าไปด้วย
  • ซิงโครไนซ์ไฟล์ในเอกสาร หมายถึง เพิ่มไฟล์ที่เลือกเข้าไปยังไฟล์บีบอัด หากไฟล์ที่เลือกมีชื่อเดียวกับไฟล์ในไฟล์บีบอัดและมีวันที่ใหม่กว่า ก็จะเขียนทับไฟล์ที่มีอยู่ในไฟล์บีบอัด หากมีวันที่เก่ากว่าก็จะไม่ถูกบีบอัดเข้าไป และลบไฟล์ที่มีอยู่ในไฟล์บีบอัดทั้งหมดที่ไม่มีชื่อเหมือนกับไฟล์ที่เลือกไว้ เช่น เลือกไฟล์ a.doc ไว้และต้องการเพิ่มในไฟล์ documents.rar แต่ในไฟล์ documents.rar นั้นมีไฟล์ 1.doc, 2.doc, 3.doc อยู่ เมื่อบีบอัด ไฟล์ a.doc จะถูกบีบอัดเข้าไปในไฟล์ documents.rar แต่ไฟล์ 1.doc, 2.doc, 3.doc ใน documents.rar จะถูกลบทั้งหมด(ใช้ได้เฉพาะไฟล์ .rar เท่านั้น)
ตัวเลือกการสร้างเอกสารนั้น ตัวเลือกต่างๆ มีความหมายในตัวอยู่แล้ว หากท่านใดที่ต้องการสร้างไฟล์ที่บีบอัดแล้วและไม่ต้องการใช้ WinRAR ช่วยในการขยายไฟล์อีก คือต้องการสร้างไฟล์ที่จะขยายด้วยตัวมันเองไม่ต้องพึ่งโปรแกรมภายนอกให้ยุ่งยาก แนะนำให้ทำเครื่องหมายถูกหน้า "สร้างเอกสารแบบ SFX" นามสกุลของไฟล์ที่ได้จะเป็น .exe แทนที่จะเป็น .zip หรือ .rar เมื่อดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ ก็จะขยายไฟล์ต่างๆ ที่อยู่ภายในไปยังโฟลเดอร์ที่ระบุได้
ในกรณีที่ต้องการล็อคไฟล์ด้วยรหัสผ่าน คลิกแท็บแอดวานซ์ คลิกปุ่ม "ตั้งรหัสผ่าน"
ตั้งรหัสที่ต้องการในช่อง "ใส่รหัสผ่าน" แล้วคลิกปุ่ม "ตกลง"
หากต้องการเพิ่มเติมไฟล์ที่จะบีบอัดอีก หรือตั้งค่าตัวเลือกเกี่ยวกับไฟล์ ให้คลิกแท็บไฟล์ แล้วคลิกปุ่ม "ต่อท้าย" ในช่องไฟล์ที่จะเพิ่ม เลือกไฟล์ที่จะเพิ่มเติมจากไฟล์ที่ได้เลือกไว้อยู่แล้ว
ในกรณีที่ต้องการใส่คำอธิบายเกี่ยวกับไฟล์บีบอัดนี้ว่า เป็นไฟล์เกี่ยวกับอะไร สร้างวันไหน หรือข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับไฟล์นี้ ให้คลิกที่แท็บ คำอธิบาย แล้วพิมพ์คำอธิบายในช่องด้านล่าง
เมื่อตั้งค่าต่างๆ เสร็จแล้ว ให้คลิกปุ่ม OK เพื่อเริ่มดำเนินการบีบอัดไฟล์
โปรแกรมกำลังบีบอัดข้อมูล
หลังจากที่ได้บีบอัดข้อมูลเสร็จแล้วและต้องการดูข้อมูลต่างๆ ไปยังโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์ แล้วดับเบิ้ลคลิก ก็จะเห็นข้อมูลต่างๆ ที่ถูกบีบอัด
ในกรณีที่คุณเปิดไฟล์ .rar อยู่แล้ว และต้องการเพิ่มไฟล์เข้าไปในไฟล์ .rar ที่เปิดอยู่ ให้ลากไฟล์เข้ามาวางในหน้าต่างโปรแกรมได้เลย จะปรากฎกรอบโต้ตอบขึ้นมา ตอบ OK ไฟล์ที่คุณลากมาวางก็จะถูกอัดไปไว้ในไฟล์ .rar

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ไวรัส & เเอนตี้ไวรส

ไวรัสเเบ่งเป็น 





1.บูตไวรัส
บูตไวรัส (boot virus) คือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่เข้าสู่เป้าหมายในระหว่างเริ่มทำการบูตเครื่อง ส่วนมาก มันจะติดต่อเข้าสู่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ระหว่างกำลังสั่งปิดเครื่อง เมื่อนำแผ่นที่ติดไวรัสนี้ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไวรัสก็จะเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ตอนเริ่มทำงานทันที

บูตไวรัสจะ ติดต่อเข้าไปอยู่ส่วนหัวสุดของฮาร์ดดิสก์ ที่มาสเตอร์บูตเรคคอร์ด (master boot record) และก็จะโหลดตัวเองเข้าไปสู่หน่วยความจำก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะเริ่มทำงาน ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


2.ไฟล์ไวรัส
ไฟล์ไวรัส (file virus) ใช้เรียกไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม เช่นโปรแกรมที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต นามสกุล.exe โปรแกรมประเภทแชร์แวร์เป็นต้น


3.มาโครไวรัส
มาโครไวรัส (macro virus) คือไวรัสที่ติดไฟล์เอกสารชนิดต่างๆ ซึ่งมีความสามารถในการใส่คำสั่งมาโครสำหรับทำงานอัตโนมัติในไฟล์เอกสารด้วย ตัวอย่างเอกสารที่สามารถติดไวรัสได้ เช่น ไฟล์ไมโครซอฟท์เวิร์ด ไมโครซอฟท์เอ็กเซล เป็นต้น


4.หนอน
หนอน (Worm) เป็นรูปแบบหนึ่งของไวรัส มีความสามารถในการทำลายระบบในเครื่องคอมพิวเตอร์สูงที่สุดในบรรดาไวรัสทั้ง หมด สามารถกระจายตัวได้รวดเร็ว ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าหนอนนั้น คงจะเป็นลักษณะของการกระจายและทำลาย ที่คล้ายกับหนอนกินผลไม้ ที่สามารถกระจายตัวได้มากมาย รวดเร็ว และเมื่อยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ระดับการทำลายล้างยิ่งสูงขึ้น

อื่นๆ

โทรจัน
ม้า โทรจัน (Trojan) คือโปรแกรมจำพวกหนึ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแอบแฝง กระทำการบางอย่าง ในเครื่องของเรา จากผู้ที่ไม่หวังดี ชื่อเรียกของโปรแกรมจำพวกนี้ มาจากตำนานของม้าไม้แห่งเมืองทรอยนั่นเอง ซึ่งการติดนั้น ไม่เหมือนกับไวรัส และหนอน ที่จะกระจายตัวได้ด้วยตัวมันเอง แต่โทรจัน (คอมพิวเตอร์)จะถูกแนบมากับ อีการ์ด อีเมล์ หรือโปรแกรมที่มีให้ดาวน์โหลดตามอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ใต้ดิน และสุดท้ายที่มันต่างกับไวรัสและเวิร์ม คือ มันจะสามารถเข้ามาในเครื่องของเรา โดยที่เราเป็นผู้รับมันมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง


โปรเเกรมเเอนตี้ไวรส

1. AVG Antivirus Free Edition 2011: เป็นโปรแกรมที่สามารถป้องกันไวรัสและสปายแวร์ ตัวใหม่ๆ ได้ เช่น ไวรัสที่มากับ E-mail เพราะทุกวันนี้ไวรัสและสปายแวร์จะมีการอัพเดทความสามารถในการทำลายอยู่ตลอด ดังนั้นเราก็ควรอัพเดทโปรแกรมที่มีอยู่และอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ๆ ของโปรแกรมอยู่ตลอดนะจ๊ะ ถ้ายังไม่มีโปรแกรมสแกนไวรัส ลองใช้โปรแกรมที่ติดอันดับต้นๆ ของการดาวน์โหลดอย่าง AVG Antivirus Free Edition 2011 มาลองใช้กันได้





2. Avira AntiVir Personal Free Edition: สามารถกำจัดไวรัสได้มากว่า 300,000 ชนิด มีการอัพเดท ข้อมูลไวรัสในเครื่องของเราแบบอัตโนมัติ ทำให้โปรแกรมไม่ล้าหลัง และตามไวรัสตัวใหม่ๆ ได้ทัน โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นอินเทอร์เน็ต และชอบดาวน์โหลด ทั้งหลาย แต่บางทีเวลาที่เราสแกน โปรแกรมก็ชอบลบข้อมูลบางอย่างออกไปด้วย





3. Avast Free Antivirus: สามารถป้องกันไวรัส Spyware หรือ Malware ต่าง ๆ ที่แฝงตัวมากับเว็บไซต์ไม่ให้เข้ามาทำร้ายข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราได้ การสแกนสามารถสแกนได้ทั้งไฟล์ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และสแกนขณะที่บู๊ตเครื่องก็ได้ค่ะ โดยโปรแกรมจะตรวจจับไวรัสและกำจัดไวรัสให้ทันทีที่พบ และในปัจจุบันโปรแกรมสามารถรองรับภาษาได้มากกว่า 19 ภาษา เป็นโปรแกรมที่มีขนาดเล็ก กระทัดรัด สามารถใช้งานได้ง่าย ที่สำคัญไม่หนักเครื่องด้วย





4. Microsoft Security Essentials: สำหรับโปรแกรมนี้ เป็นโปรแกรมที่สามารถตรวจสอบและกำจัดไวรัสหรือสปายแวร์ได้เกือบทุกรูปแบบ ไม่ว่าไวรัสจะเปลี่ยนสถานะในการเข้าถึงข้อมูลของเราเป็นอย่างไรก็ตาม โปรแกรมก็จะตรวจพบไวรัสได้อยู่ดี ถ้าใครยังไม่มีโปรแกรมสแกนไวรัสลองโหลดโปรแกรมตัวนี้ไปใช้ดูนะคะ เพราะเป็นโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Microsoft เองซึ่งน่าจะช่วยให้ผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ในระบบปฏิบัติการ Windows อุ่นใจขึ้นได้อีกเยอะ




5. Panda Cloud Antivirus Free: เป็นโปรแกรมที่มีขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์น้อย สำหรับโปรแกรมนี้สามารถใช้งานง่าย เพราะมีไอคอนเพียงไม่กี่ปุ่ม ในการทำงานของโปรแกรมนี้จะทำการอัพเดทอัตโนมัติเมื่อเราเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถสแกนไวรัสตัวใหม่ๆ ได้ อีกทั้งยังสแกนรวดเร็ว






วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 8 อุปกรณ์ต่อพ่วง Flash Drive & Printer & Sacner


Flash Drive
Flash Drive (หรือที่หลายคนเรียก Handy Drive, Thumb Drive, USB Drive)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือไฟล์จากคอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา สะดวกในการพกพาติดตัว 
แต่ในขณะเดียวกันมีความจุสูง สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากตั้งแต่ 2 GB ถึง 16 GB และขนาดความจุข้อมูลก็ม IT  
เพราะมีคุณสมบัติที่โดดเด่นตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน และมีประโยชน์ที่สำคัญที่สุดคือ:

ความจุข้อมูลสูง ตั้งแต่ 2 GB ถึง 16 GB
ใช้เก็บข้อมูลได้ทุกประเภท ทั้งไฟล์ข้อมูล, เอกสาร, พรีเซ็นเตชั่นสไลด์, เพลง MP3, รูปภาพดิจิตอล, วีดีโอ, และอื่นๆ
สามารถใช้ได้ทันทีกับคอมพิวเตอร์และโน็ตบุ๊ค ทุกเครื่องทุกระบบ
สามารถใช้ได้กับ Windows, Linux, Apple iMac, Apple iBook
สะดวกในการใช้งาน เพียงแค่เสียบ Flash Drive เข้าช่องต่อ USB
ใช้งานง่าย คุณสามารถทำการเขียน/อ่าน/ลบ/แก้ไข ข้อมูลในนั้นได้โดยตรงเหมือนกับฮาร์ดดิสไดร์ฟปกติ
มีความทนทานสูง ทั้งภายในและภายนอก
เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่สร้างจากเทคโนโลยีที่มีความทนทานสูงที่สุดในปัจจุบัน Solid-State Storage Technology
เวลาใช้งาน ข้อมูลของคุณจะปลอดภัยไม่ว่าจะเกิดการตกหล่น กระแทก หรือขูดขีด
มีขนาดเล็ก บาง เบา สามารถพกติดตัวได้สะดวก
ใช้เล่นเพลง MP3 ได้ (เฉพาะรุ่นที่มี MP3 Player) 

ประเภทของ Flash Drive 

Thumb drive
Thumb drive เป็นชื่อทางการค้า คุณสมบัติเหมือน CD-R, Floppy Disk, Hard Disk เป็นหน่วยความจำ 
ที่เสริมเข้าไปในคอมพิวเตอร์ทาง Port USB และถือเป็นการเก็บข้อมูลรูปแบบใหม่ คือไม่ต้องมีตัว
Drive ตัว Disk พกพาได้สะดวกมีขนาดเล็กเท่ากับหัวแม่มือ เป็นยุคแรกๆ ของอุปกรณ์จำพวก Flash Drive 
ความเร็วในการอ่าน เขียน ประมาณ 500KB/Sec มีความจุอยู่ระหว่าง 8 MB - 1024MB ในปัจจุบันอาจมีมากขึ้น
สำหรับราคาในยุคแรกๆ ราคาสูง ขนาดความจุน้อย
ที่มาคำว่า Flash Drive
Flash Drive มีชื่อจริงว่า USB Mass Storage Device ส่วนใหญ่เรียกกันว่า USB Flash Memory Drive ,
USB Flash Drive Memory หรือ USB Flash Drive การใช้งานเชื่อมต่อกับ Computer ผ่านทาง Port USB 
ใช้ Flash Memory เก็บข้อมูล ทำงานเป็น Drive เหมือน HardDisk อ่านและบันทึกข้อมูลได้อย่างเดียว
ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ ซึ่งเป็นยุคต่อมาจาก Thumb drives ราคาถูกลง ความจุมีมากขึ้น ขนาดของตัว Flash Drive
เล็กลงด้วย บางยี่ห้อมีขนาดประมาณ 1 นิ้ว
ที่มาคำว่า Handy drive
Handy drive เป็นชื่อทางการค้า คุณสมบัติและการทำงานเหมือน Flash drive แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือสามารถเล่นไฟล์ Mp3
ไฟล์วีดีโอ ไฟล์รูปภาพ ฟังวิทยุผ่านช่องเสียบหูฟัง และฟังก์ชันอื่นๆ ที่ผู้ผลิตจะใส่ลงไป ใช้แบตเตอรี่มีทั้งแบบใช้ถ่าน AA ,
AAA หรือถ่านชาร์จ ซึ่งจะชาร์จถ่านผ่านทาง Port USB รูปลักษณ์สวยงาม แต่มีขนาดใหญ่กว่า Flash drive เนื่องจากต้อง
ใช้แบตเตอรี่สำหรับราคาแพงกว่า Flash drive อยู่บ้างเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานที่หลากหลาย

Printer

เครื่องพิมพ์ (อังกฤษComputer printer) เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงที่จะผลิตข้อความและ/หรือกราฟิกของเอกสารที่เก็บไว้
ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ออกมาในสื่อทางกายภาพเช่นกระดาษหรือแผ่นใส
เครื่องพิมพ์ส่วนมากเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงทั่วไปและเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิลเครื่องพิมพ์หรือในเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่จะเป็นสายยูเอสบี
เครื่องพิมพ์บางชนิดที่เรียกกันว่าเครื่องพิมพ์เครือข่าย(Network Printer) อินเตอร์เฟซที่ใช้มักจะเป็นแลนไร้สายและ/หรืออีเทอร์เน็ต
ประเภท
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser printer หรือ Toner-based printers) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสาร คือ
ยิงเลเซอร์ไปสร้างภาพบนกระดาษในการสร้างรูปภาพ หรือตัวอักษร ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาจะมีคุณภาพสูงมาก และราคาเครื่องพิมพ์ก็
มีราคาสูงมากด้วยเช่นกัน ซึ่งเครื่องพิมพ์เลเซอร์จะทำงานได้เร็วกว่าเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก และคุณภาพของผลลัพธ์ทั้งด้านความคม
ชัดและรายละเอียดทำออกมาได้ดีกว่าแบบพ่นหมึกมากๆ

เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก

เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก หรือ เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต (Inkjet Printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ทำงานโดยการพ่นหมึกออกมาเป็นหยดเล็กๆ 
ลงบนกระดาษ เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ เครื่องพิมพ์จะทำการพ่นหมึกออกตามแต่ละจุดในตำแหน่งที่เครื่องประมวลผลไว้
อย่างแม่นยำ ตามความต้องการของเรา ซึ่งเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะมีคุณภาพดีกว่าเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ โดยรูปที่มีความซับซ้อนมาก ๆ
 เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ชัดเจนและคมชัดกว่าแบบดอตแมทริกซ์

เครื่องพิมพ์แบบใช้ความร้อน

เครื่องพิมพ์แบบใช้ความร้อน (Thermal printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ทำงานโดนการให้ความร้อนแก่กระดาษโดยไม่ต้องใช้หมึก เช่นแบบที่ใช้
ในการพิมพ์ใบเสร็จจากเครื่องATM เครื่องคิดเงินในห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ เครื่องคิดเลขแบบตั้งโต๊ะบางประเภท รวมถึงเครื่องโทรสาร
ในสมัยก่อนก็ใช้ระบบการพิมพ์แบบนี้

เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์

เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot-matrix printer) การทำงานของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้คือจะใช้การสร้างจุดลงบนกระดาษ ซึ่งหัวพิมพ์จะมีลักษณะ
เป็นหัวเข็ม เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ หัวเข็มที่อยู่ในตำแหน่งตามรูปประกอบนั้นๆ จะยื่นออกมามากกว่าหัวอื่นๆ และกระแทกกับผ้า
หมึกลงกระดาษที่ใช้พิมพ์ จะทำให้เกิดจุดมากมายประกอบกันเป็นรูปเกิดขึ้นมา เครื่องพิมพ์ประเภทนี้เป็นที่นิยมกันอย่างมากเพราะมีราคาถูกและ
คุณภาพเหมาะสมกับราคา แต่ข้อเสียคือเวลาสั่งพิมพ์จะเกิดเสียดังพอสมควร มีแต่การพิมพ์แบบขาว-ดำเท่านั้น และต้องใช้กระดาษเฉพาะสำหรับ
เครื่องพิมพ์แบบนี้เท่านั้น โดยตัวกระดาษจะมี3ชั้น ชั้นแรกเป็นหน้าที่จะพิมพ์ปกติ ชั้นที่2เป็นไส้ในที่เป็นกระดาษคาร์บอนสีดำ และชั้นสุดท้ายเป็น
กระดาษปกติสำหรับใช้สำหรับสำเนาสิ่งที่พิมพ์ ซึ่งสำเนาจากการพิมพ์ด้วยกระดาษแบบนี่เรียกว่า สำเนาคาร์บอน ด้านข้างกระดาษจะมีรูเป็นแถว
ตามยาวไว้สำหรับล็อกเข้ากับเขี้ยวของเฟืองที่เป็นส่วนหนึ่งของกลไกการป้อนกระดาษเข้าตัวเครื่องพิมพ์ประเภทนี้

พล็อตเตอร์

พล็อตเตอร์ (Plotter) เป็นเครื่องพิมพ์แบบที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลลงบนกระดาษ ซึ่งเครื่องพิมพ์ประเภทนี้เหมาะกับงานเขียนแบบของวิศวกร
และสถาปนิก และเครื่องพิมพ์ประเภทนี้มีราคาแพงที่สุดในเครื่องพิมพ์ประเภทต่าง ๆ

การเลือกซื้อ
ความเร็วในการพิมพ์ ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งาน (เพราะยิ่งเร็วมากราคาจะเพิ่มขึ้น) ขนาดของกระดาษกับเครื่องพิมพ์ ส่วนใหญ่แล้วเครื่องพิมพ์เลเซอร์จะรองรับกระดาษ
ขนาด A4 ความละเอียดของเครื่องพิมพ์ สำหรับการใช้พิมพ์ตัวอักษร เอกสารทั่วไป ความละเอียด 300 dpi ก็เพียงพอแล้ว ตลับหมึก ควรพิจารณาความสามารถในการพิมพ์
ต่อแผ่น ต่อตลับ ต่อราคาตลับหมึก
ปัจจุบันเครื่องพิมพ์เลเซอร์สี มีราคาลดลงมากเมื่อเทียบกับเลเซอร์ขาวดำ ดังนั้น จึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการพิจารณาเลือกซื้อเลเซอร์ แต่ข้อย้ำอีกอย่าง

scanner 
สแกนเนอร์ คืออุปกรณ์จับภาพและเปลี่ยนแปลงภาพ จากรูปแบบของแอนาลอกเป็นดิจิตอล ซึ่งคอมพิวเตอร์ สามารถแสดง, เรียบเรียง, เก็บรักษาและผลิตออกมาได้ ภาพนั้นอาจจะเป็นรูปถ่าย, ข้อความ, ภาพวาด หรือแม้แต่วัตถุสามมิติสแกนเนอร์แบ่งป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ


1. สแกนเนอร์ดึงกระดาษ (Sheet - Fed Scanner)
2. สแกนเนอร์แท่นเรียบ (Flatbed Scanner)
3. สแกนเนอร์มือถือ (Hand - Held Scanner)

สแกนเนอร์ดึงกระดาษ (Sheet - Fed Scanner)
สแกนเนอร์แบบนี้จะรับกระดาษแล้วค่อย ๆ เลื่อนหน้ากระดาษแผ่นนั้นให้ผ่านหัวสแกน ซึ่งอยู่กับที่ข้อจำกัดของสแกนเนอร์ แบบเลื่อนกระดาษ คือสามารถอ่านภาพที่เป็นแผ่นกระดาษได้เท่านั้น ไม่สามารถ อ่านภาพจากสมุดหรือหนังสือได้
สแกนเนอร์แท่นเรียบ (Flatbed Scanner)
สแกนเนอร์แบบนี้จะมีกลไกคล้าย ๆ กับเครื่องถ่ายเอกสาร เราแค่วางหนังสือหรือภาพไว้ บนแผ่นกระจกใส และเมื่อทำการสแกน หัวสแกนก็จะเคลื่อนที่จากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ข้อจำกัดของสแกนเนอร์ แบบแท่นนอนคือแม้ว่าอ่านภาพจากหนังสือได้ แต่กลไกภายในต้องใช้ การสะท้อนแสงผ่านกระจกหลายแผ่น ทำให้ภาพมีคุณภาพไม่ดีเมื่อเทียบกับแบบแรก
สแกนเนอร์มือถือ (Hand - Held Scanner)
สแกนเนอร์แบบนี้ผู้ใช้ต้องเลื่อนหัวสแกนเนอร์ไป บนหนังสือหรือรูปภาพเอง สแกนเนอร์ แบบมือถือได้รวม เอาข้อดีของสแกนเนอร์ ทั้งสองแบบเข้าไว้ด้วยกันและมีราคาถูก เพราะกลไกที่ใช้ไม่ สลับซับซ้อน แต่ก็มีข้อจำกัด ตรงที่ว่าภาพที่ได้จะมีคุณภาพแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอ ในการเลื่อนหัวสแกนเนอร์ของผู้ใช้งาน นอกจากนี้หัวสแกนเนอร์แบบนี้ยังมีหัวสแกนที่มีขนาดสั้น ทำให้ อ่านภาพบนหน้าหนังสือขนาดใหญ่ได้ไม่ครบ 1 หน้า ทำให้ต้องอ่านหลายครั้งกว่าจะครบหนึ่งหน้า ซึ่งปัจจุบันมีซอฟต์แวร์หลายตัว ที่ใช้กับสแกนเนอร์ แบบมือถือ ซึ่งสามารถต่อภาพที่เกิดจากการสแกนหลายครั้งเข้าต่อกัน

ประเภทของภาพที่เกิดจากการสแกน แบ่งเป็นประเภทดังนี้

* ภาพ Single Bit
ภาพ Single Bit เป็นภาพที่มีความหยาบมากที่สุดใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูล น้อยที่สุดและ นำมาใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ แต่ข้อดีของภาพประเภทนี้คือ ใช้ทรัพยากรของเครื่องน้อยที่สุดใช้พื้นที่ ในการเก็บข้อมูลน้อยที่สุด ใช้ระยะเวลาในการสแกนภาพน้อยที่สุด Single-bit แบ่งออกได้สองประเภทคือ
Line Art ได้แก่ภาพที่มีส่วนประกอบเป็นภาพขาวดำ ตัวอย่างของภาพพวกนี้ ได้แก่ ภาพที่ได้จากการสเก็ต
Halftone ภาพพวกนี้จะให้สีที่เป็นโทนสีเทามากกว่า แต่โดยทั่วไปยังถูกจัดว่าเป็นภาพประเภท Single-bit เนื่องจากเป็นภาพหยาบๆ

* ภาพ Gray Scale
ภาพพวกนี้จะมีส่วนประกอบมากกว่าภาพขาวดำ โดยจะประกอบด้วยเฉดสีเทาเป็นลำดับขั้น ทำให้เห็นรายละเอียดด้านแสง-เงา ความชัดลึกมากขึ้นกว่าเดิม ภาพพวกนี้แต่ละพิกเซลหรือแต่ละจุดของภาพอาจประกอบด้วยจำนวนบิตมากกว่า ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น

* ภาพสี
หนึ่งพิกเซลของภาพสีนั้นประกอบด้วยจำนวนบิตมหาศาล และใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก ควาามสามารถในการสแกนภาพออกมาได้ละเอียดขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าใช้ สแกนเนอร์ขนาดความละเอียดเท่าไร

* ตัวหนังสือ
ตัวหนังสือในที่นี้ ได้แก่ เอกสารต่างๆ เช่น ต้องการเก็บเอกสารโดยไม่ต้อง พิมพ์ลงในแฟ้มเอกสารของเวิร์ดโปรเซสเซอร์ ก็สามารถใช้สแกนเนอร์สแกนเอกสาร ดังกล่าว และเก็บไว้เป็นแฟ้มเอกสารได้ นอก จากนี้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถใช้ โปรแกรมที่สนับสนุน OCR (Optical Characters Reconize) มาแปลงแฟ้มภาพเป็น เอกสารดังกล่าวออกมาเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถแก้ไขได้

เทคนิคการเลือกซื้อ


                    1. DPI (Dot Per Inch)
dot per inch จำนวนจุดต่อนิ้ว หมายความว่า จะ Scanner สามารถ Scan ในความละเอียดสูง ได้ และในเวลาอันสั้น หมายความว่า มีคุณภาพค่อนข้างดี แต่อย่างไรก็ตาม ยิ่ง Scan ด้วยความละเอียดสูง จะทำให้ file ที่ได้มีขนาดใหญ่และช้ามากด้วย                    
                    2.การเชื่อมต่อ 

เดิมการเชื่อมต่อจะใช้ SCSI card (ส่วนใหญ่ต้องซื้อเพิ่ม) เข้ามาเสริม เพื่อเพิ่มความเร็ว ปัจจุบันมักจะใช้ LPT หรือ USB มาเชื่อมต่อ แต่ก็ให้ความเร็วค่อนข้างดี
                   3. โปรแกรม 
ควรมีโปรแกรมที่แถมมากับเครื่องเพื่อแก้ไขภาพ หรือถ้าต้องการ Scan ตัวอักษรแล้วต้องการแก้ไข ควรมีโปรแกรมประเภท OCR (OCR - Optical Character Recognition คือโปรแกรมที่สามารถเปลี่ยนข้อความที่เราสแกนเข้าไป เปลี่ยนเป็นข้อความที่สามารถแก้ไขได้โดยตรงด้วยโปรแกรมประเภท word)
                   4. ความสามารถพิเศษ
สามารถ Scan ฟิล์มสไลต์, ฟิล์มเนกะทีฟ, Scan 3D หรือ3 มิติ ได้หรือไม่


บทที่ 8 อุปกรณ์ต่อพ่วง กล้องดิจิตตอล & Memory





  • กล้องดิจิตอล   
      1. กล้องดิจิตอล (Digital Camera) คือ กล้องถ่ายรูปที่ไม่ต้องใช้ฟิล์ม ภาพที่ถ่ายได้จะถูกบันทึกแบบดิจิตอลโดยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในกล้อง โดยอยู่ในรูปแบบของไฟล์ภาพซึ่งสามารถส่งเข้าไปยังคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์ออกมาเป็นภาพ กล้องดิจิตอล (Digital Camera) ส่วนใหญ่จะแบ่งตามการใช้งานของ CCD 
    กล้องมีกี่ประเภท

    กล้องดิจิตอลมีมากมายหลายประเภทครับ แต่ถ้ายกเฉพาะที่ใช้กันแพร่หลายก็มีอยู่ 4 ประเภทครับ
    1.กล้องคอมแพค (Compact)
    2.กล้อง DSLR
    3.กล้อง DSLR-Like
    4.กล้อง Mirrorless เช่น Micro 4/3



    1.กล้องคอมแพค
    กล้องประเภทนี้ หมายความรวมๆว่า "พกพาสะดวก" ฉะนั้น กล้องเล็กๆบางๆ หยิบพกสะดวก ก็เรียกว่าเป็นคอมแพคได้ทั้งนั้นล่ะครับ
    ส่วนใหญ่ถ่ายภาพออกมาชัดเจนพอจะล้างรูปขนาดจัมโบ้ได้ (4x6 นิ้ว) ... แต่ถ้ามากกว่านั้นความละเอียดก็จะลดลงตามลำดับ
    ราคาหลากหลาย มีตั้งแต่ถูกๆ ไม่แพงมาก และแพง ^ ^"



    2.กล้อง DSLR (Digital Single Lens Reflex)
    ถ้าแปลความหมาย จะแปลว่ากล้องสะท้อนเลนส์เดี่ยวแบบดิจิตอล ... แต่อย่าไปจำดีกว่า
    จำง่ายๆว่า "กล้องตัวดำๆใหญ่ๆ เปลี่ยนเลนส์ได้" ก็พอครับ ^ ^ (กล้องที่ไม่ดำ ไม่ใหญ่ เปลี่ยนเลนส์ได้ แต่เป็น DSLR ก็มีนะ ^ ^) ส่วนใหญ่ถ่ายภาพได้คมชัดกว่าคอมแพคและมีลูกเล่น ปรับโน่นปรับนี่ได้เยอะครับ
    ส่วนใหญ่พวกมืออาชีพ หรือคนที่ต้องการภาพที่สวยๆ จะใช้กล้องประเภทนี้กันครับ
    ราคาเมื่อเทียบกับคอมแพคก็มักจะแพงกว่า ถูกสุดก็ 1.5 หมื่นขึ้นไปครับ



    3.กล้อง DSLR-Like 
    กล้องนี้เป็นกล้อง "เหมือน DSLR" แต่ไม่ใช่ DSLR น่ะครับ
    คุณภาพกล้องสูสีกว่าคอมแพค บ้างก็ดีกว่า แต่ยังไม่เท่า DSLR ... เพียงแต่ปรับแต่งได้เยอะใกล้เคียง DSLR แต่ถอดเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้
    มีลักษณะดำๆใหญ่ๆเหมือนกับ DSLR
    ราคาใกล้เคียงคอมแพครุ่นกลางๆ-รุ่นแพงๆ เหมาะกับคนที่ต้องการภาพที่ดีในระดับโอเคกว่าคอมแพค และไม่ต้องการพกอุปกรณ์เยอะแยะไปกว่ากล้องตัวใหญ่ๆตัวหนึ่ง



    4.กล้อง Mirrorless เช่น Micro 4/3 หรือ Sony E-mount
    ไม่แน่ใจว่ากล้องประเภทนี้จะก้าวเข้าสู่ตลาดกล้องได้ดีแค่ไหน แต่ ณ ปัจจุบันนี้ก็เปิดตัวได้แรงพอดู
    เป็นกล้องแบบเดียวกับ DSLR ต่างกันตรงไม่มีเลนส์สะท้อนเท่านั้นเอง ทำให้มีขนาดที่เล็กกว่า DSLR มาก ได้เปรียบเรื่องการพกพาที่ใกล้เคียงคอมแพค
    คุณภาพไฟล์รูปเท่าๆกับ DSLR (DSLR รุ่นล่างๆ-รุ่นกลางๆ) ... แต่ส่วนใหญ่จะบ่นๆกันเรื่องที่มันจับถือและปรับแต่งไม่ถนัดแบบ DSLR



    วิธีเลือกซื้อกล้องดิจิตอล

     งบประมาณ ก่อนอื่นต้องมาดูกันว่า คุณจะตั้งงบไว้สักเท่าใด ในการหาซื้อกล้อง ดิจิตอลสักตัว เพราะราคาในตลาดมีตั้งแต่กล้องแบบง่ายๆ ราคาไม่กี่พันบาท ซึ่งทำ อะไรไม่ได้มากนัก ที่พอใช้ได้จะเริ่มจากหมื่นต้นๆ ไล่เรียงลำดับไปตามสเปค และ คุณภาพที่ดีขึ้น จนถึงหลักแสนหรือหลายๆ แสน เมื่อตั้งงบไว้แล้วเช่น สองหมื่นบาท ก็มองหาเฉพาะกล้องที่อยู่ในงบของเรา รุ่นที่มีราคาสูงกว่า คงไม่ต้องนำมาพิจารณา ให้ปวดหัว

    เซ็นเซอร์ภาพ ถ้าดูตามสเปคมักจะ เขียนว่า Image sensor หรือ Image recording พูดง่ายๆ ก็คือ อุปกรณ์ ที่ใช้รับภาพแทนฟิล์มนั่นเอง บางยี่ห้อใช้ CMOS แต่ส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดใช้ CCD ขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่ใหญ่กว่าย่อมได้เปรียบ เพราะเก็บรายละเอียดได้มาก แต่ราคาก็แพงกว่า อาจจะดูจากสเปคว่าใช้ CCD ขนาดเท่าใดเช่น 1/1.8 นิ้ว, 1/2.7 นิ้ว หรือ 2/3 นิ้ว (วัดตามแนวทแยงมุม)

    ความลึกของสี หรือ Bit Depth บางทีก็เรียก Color Depth ยิ่งมีความลึกของสีมากเท่าใด ก็จะเก็บรายละเอียด ของเฉดสีได้ดีมากขึ้น เช่น 10 บิต/ สี หรือ 12 บิต/สี หมายความว่า สีธรรมชาติ มี 3 สีคือ RGB ถ้า 1 สี แสดงได้ 13 บิต 3 สีก็จะได้ 36 บิต เป็นต้น ถ้าเป็นกล้องระดับไฮเอนด์ อาจจะทำได้ถึง 16 บิต/สี หรือ 48 บิตที่ RGB นั่นก็เทียบเท่ากับฟิล์ม สไลด์ดีๆ นี่เอง แต่ไม่รู้ว่าทำไมมีกล้องบาง ยี่ห้อ บางรุ่นเท่านั้น ที่เปิดเผยว่ากล้องของตัวเอง มีระดับความลึกของสีเท่าใด ยิ่งถ้าเป็นกล้องที่สเปคต่ำเช่น 8 บิต/สี (อันที่จริงก็เยอะแล้ว เพราะ จะได้ 24 บิตที่ RGB แสดงสีได้ 16.7 ล้านเฉดสี) แทบไม่อยากจะพูดถึงกันเลย แต่ถ้ากล้องระดับโปร มักจะโชว์ตัวเลขให้เห็นจะๆ เลยว่าใครได้มากกว่ากัน การที่เฉดสีน้อย จะทำให้การแยกสีไม่ดีเท่าที่ควร เช่น กลีบดอกไม้สีแดงเข้ม แดงปานกลางและแดงอ่อน ดูด้วยตาเปล่า ก็ไล่เฉดสีกันดี แต่ถ่ายออกมากลายเป็นสีแดงสีเดียว ถ้าใช้ฟิล์มสไลด์จะได้ใกล้เคียงกับที่ตาเห็น (สไลด์โปรจะทำได้ดีกว่า)

    ดูความละเอียดต้องดูที่ Effective เวลาซื้อกล้องดิจิตอล เรามักจะได้ยินคน บอกว่า ตัวนี้ 3 ล้านพิกเซล ตัวนี้ 4 ล้านพิกเซล แต่ส่วนใหญ่ เป็นความละเอียดของเซ็นเซอร์ภาพ ขนาดภาพจริงจะน้อยกว่านั้น ลองดูสเปคในคู่มือ หรือโบรชัวร์ หาคำว่า Effective ซึ่งก็คือขนาดภาพจริงๆ ที่จะได้ เช่น ในโบรชัวร์บอกว่า 5.24 ล้านพิกเซล แต่ตามสเปคระบุชัดว่า ขนาดภาพใหญ่สุดที่ได้คือ 2560 x 1920 พิกเซล ถ้าคูณดูก็จะได้ 4.9 ล้านพิกเซล เป็นต้น

    Interpolate ในกล้องบางรุ่น ถ้า เราดูที่ขนาดภาพตามสเปค อาจจะแปลกใจ เพราะคูณออกมาแล้ว ได้ความละเอียดมากกว่าเดิมเช่น CCD 3 ล้านพิกเซล แต่ได้ขนาดภาพถึง 6 ล้านพิกเซล ทั้งนี้เป็นเพราะ มีการใช้เทคโนโลยีบางอย่าง เพิ่มความละเอียดให้สูงขึ้นนั่นเอง เช่น Super CCD ของ Fuji หรือ HyPict ของ EPSON เป็น ต้น แต่คุณภาพจะดีไม่เท่ากับความละเอียดแท้ๆ ของ CCD แต่ก็จะดีกว่ากล้องรุ่นที่มีความละเอียดแบบ Effective เท่ากัน อย่างไรก็ตามก็นับว่า เป็นการเพิ่มคุณภาพให้ดีกว่าเดิม โดยใช้เทคโน โลยีมาช่วย ต่างกับการนำภาพ ไปเพิ่มความละเอียด ด้วยซอพท์แวร์เช่น Adobe Photo shop ซึ่งคุณภาพจะแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเพิ่มความละเอียดถึง 1 เท่าแบบนี้ วิธีการนี้เรามักจะเรียกกันว่า Interpolate ซึ่งกล้องที่มีฟังก์ชั่นเหล่านี้ จะมีเมนูให้เลือกว่าจะใช้หรือไม่



    Memory

    Memory Memory (หน่วยความจำ) เป็นอุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ ที่ใช้เก็บคำสั่ง และข้อมูลที่ไมโครเซสเซอร์ สามารถเข้าถึงได้เร็ว เมื่อคอมพิวเตอร์ อยู่ในการทำงานปกติ หน่วยความจำจะเก็บส่วนใหญ่ของระบบปฏิบัติการ และโปรแกรมประยุกต์บางส่วนหรือทั้งหมด และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน หน่วยความจำมักจะใช้ ในความหมายเดียวกับหน่วยความจำชั่วคราว หน่วยความจำชนิดนี้ ตั้งอยู่บนไมโครซิปหนึ่ง หรือมากกว่า ใกล้กับไมโครโพรเซสเซอร์ในคอมพิวเตอร์ การมีขนาด RAM ยิ่งมากจะช่วยลดความถี่ของคอมพิวเตอร์ ในการเข้าถึงคำสั่ง และข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เวลามาก บางครั้งหน่วยความจำได้รับการแยก จากการเป็นที่เก็บ หรือตัวกลางทางกายภาคที่ใช้เก็บข้อมูล จำนวนมากที่มากกว่า RAM และอาจจะไม่ต้องการในเวลานั้น อุปกรณ์การเก็บรวมถึงฮาร์ดดิสก์, ฟล๊อปปี้ดิสก์, CD-ROM และระบบเทปสำรองข้อมูล คำว่า auxiliary storage, auxiliary memory และ secondary memory ใช้สำหรับที่เก็บข้อมูลประเภทนี้ Compact Flash Card (CF Card) เป็นหน่วยความจำแบบที่นิยมกันมากที่สุด มีขนาดเล็ก เบา ราคาถูก รวมทั้งยังทนทานเป็นพิเศษ มีความจุตั้งแต่ 8 เมกะไบต์ จนถึง 3 กิกะไบต์ จุดเด่นของ CF card คือ มีความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลสูง โดย CF card จะมี 2 รูปแบบคือ Type 1 และ Type 2 Type II จะมีความหนามากกว่า มีความจุมากขึ้น และประมวลผลได้เร็ว มีใช้ในฮาร์ดดิสก์ขนาดจิ๋ว อุปกรณ์ที่นิยมใช้ CF card ส่วนใหญ่จะเป็น กล้องดิจิตอล และ คอมพิวเตอร์พกพา ที่เห็นได้ชัดก็คือ กล้อง Canon จะใช้ CF card เป็นตัวเก็บภาพแทบทุกรุ่น Multimedia Memory Card (MMC card) หน่วยบันทึกข้อมูลประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหรือเครื่องเล่น MP3 มาก่อน แต่ด้วยข้อจำกัดของ MMC card คือ มีราคาค่อนข้างแพง มีความจุไม่ค่อยสูงมากนัก ซึ่งในอนาคตอาจจะถูกแทนที่ด้วยการ์ดหน่วยความจำแบบ SD Card ในไม่ช้า แต่ที่ยังคงมีการใช้งาน MMC Card กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เนื่องจาก MMC Card นั้นสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับ SD Card ได้ด้วย โดยอุปกรณ์ที่นำ MMC Card ไปใช้งานนั้นก็มักจะเป็นอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ, เครื่องพีดีเอ, เครื่องเล่นเพลง MP3 หรือกล้องดิจิตอล จากที่กล่าวไว้ข้างต้นคือ อุปกรณ์ใดที่มีสล็อตของ SD Card ก็มักจะสามารถนำ MMC Card มาใส่ได้โดยปริยาย เนื่องจากความกว้างและยาวของ MMC Card นั้นเท่ากันกับ SD Card รวมถึงมีขาขั้วต่อ (Pins) รูปแบบเดียวกัน เพียงแต่ MMC Card จะมีความหนาที่น้อยกว่า SD Card อยู่เล็กน้อย Memory Stick
    เป็นหน่วยความจำที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นโดย Sony เพื่อใช้กับกล้องดิจิตอล, เครื่องเล่นเพลง, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นเกมส์ PlayStation, VAIO notebook ของค่าย Sony โดยเฉพาะ ซึ่ง sony ได้ทำการพัฒนาออกมาหลายรุ่นด้วยกัน เช่น Memory Stick, Memory Stick Duo (มีระบบป้องกันข้อมูลในส่วนของ Memory Stick MagicGate), Memory Stick with memory selection function Total 256 mb (128 mb x 2), Memory Stick Pro, Memory Stick Pro Duo (มีระบบป้องกันข้อมูลในส่วนของ Memory Stick MagicGate) ลักษณะของ Memory Stick มีรูปร่างเป็นแท่งแบนยาว มีขนาด 50 x 21.5 x 2.8 มิลลิเมตร สามารถรองรับการบันทึก/จัดเก็บข้อมูลได้มากถึงระดับ GB ลักษณะเด่นและมีความเร็วในการบันทึกและการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงระดับ 1.3 MB ต่อวินาที ซึ่งสูงกว่าหน่วยความ SD card หรือ MMC card แบบธรรมดา ช่วยให้การเขียนอ่านข้อมูลทำได้ด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ Memory Stick ไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้ทั่วไปเท่าใดนัก เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างสูง วิธีการเลือกซื้อ Memory ดูที่คู่มือของกล้อง , โทรศัพท์ หรือ อุปกรณ์ที่คุณใช้อยู่ว่ารองรับการใช้เมมเมรี่การ์ด (Memory Card) แบบไหน ถ้าคู่มือเป็นภาษาอังกฤษให้ดูตรงที่มีข้อความอย่าง เช่น “memory card compatability” or “storage ส่วนใหญ่จะมีอยู่ในหน้าสรุปรายละเอียด หรือ สเปกสินค้า (Product Details , Product Specification) ถ้าคุณไม่สามารถหาคู่มือให้ดูที่ฝาช่องเสียบการ์ดหน่วยความจำ จะมีเครื่องหมายบอกอย่างเช่น CF (Compact Flash) SD (Secure Digital) xD (Extreme Digital) MS (Memory Stick) MMC (MultiMediaCard) SM (Smart Media) ขั้นตอนที่ 2 : ตรวจสอบความจุ (Capacity) - ความจุเยอะก็จะเก็บข้อมูล รูป หรือ เพลงได้เยอะ และความจุยิ่งเยอะ การ์ดก็จะมีราคาแพงสูงขึ้นตามไปด้วย - อุปกรณ์บางอย่างรองรับความจุที่จำกัด เช่น กล้องรุ่นเก่าอาจรองรับความจุสูงสุดได้แค่ที่ 2 GB ขั้นตอนที่ 3 : ความเร็วของการ์ด (Speed) ที่ตัวการ์ดจะมีเครื่องหมายอย่าง เช่น 4X , 12X อยู่นั้นหมายถึงความเร็วในการเขียนต่อวินาที เครื่องหมาย X มีความหมายคือ .. ร้อยกว่ากิโลไบท์ต่อวินาที (kb/s) เช่น 1x คือความเร็วในการเขียน 150 กิโลไบท์ต่อวินาที (KB/s) 4x คือ 400 กว่ากิโลไบท์ต่อวินาที (KB/s) สำหรับผู้ใช้กล้องดิจิตอลหรือวีดีโอ